น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ

ครม. อนุมัติมาตรการภาษีสนับสนุนการศึกษา สร้างความเสมอภาค

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอการมีมาตราการนี้จะสามารถช่วยได้ ดังนี้

1.เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจะได้รับบริจาคจากภาคเอกชนตามมาตรการภาษีดังกล่าวปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้

2.เป็นการช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณของรัฐในด้านการศึกษาของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

3.สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

น.ส.ทิพานันกล่าวว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะทำให้บุคคลธรรมดาสามารถนำเงินมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ ส่วนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำเงินหรือทรัพย์สินมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาคแต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา โดยมีช่องทางบริจาคจะต้องเป็นระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

ครม. อนุมัติมาตรการภาษีสนับสนุนการศึกษา สร้างความเสมอภาค

น.ส.ทิพานันกล่าวว่า ส่วนสถานศึกษา 5 ประเภท ที่จะบริจาคเพื่อการลดหย่อนได้มีดังนี้

1.สถานศึกษาของรัฐ

2.โรงเรียนเอกชนแต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ

3.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน

4.สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ เช่น สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และ

5.สถาบันอุดมศึกษาซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) อนุมัติโดยความเห็นชอบของ ครม. เช่น มหาวิทยาลัย CMKL มหาวิทยาลัยอมตะ ซึ่งบริจาคได้ทั้ง 5 ประเภท โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาให้ความเห็นชอบ

น.ส.ทิพานันกล่าวว่า โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะเป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 713) พ.ศ. 2563 และเพิ่มเติมประเภทของสถานศึกษาให้ครบถ้วนและไม่เกิดความซ้ำซ้อนทางกฎหมาย และให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 420) พ.ศ. 2547 และ (ฉบับที่ 655) พ.ศ. 2561

“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นออกกฎหมายเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการศึกษาของประเทศอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ทางตรงคือจะทำให้สถานศึกษาสามารถนำเงินส่วนนี้พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเด็กและเยาวชนไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมมากขึ้นส่วนประโยชน์ทางอ้อมคือเป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทสและเป็นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมให้ประชาชนทั่วประเทศ” น.ส.ทิพานันกล่าว

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ junescottage.com

แทงบอล

Releated